บทความต้องรู้

เพราะรอยยิ้มของคุณ คือความสุขของเรา

ไฟตัดหมอกควรใช้อย่างไร? ถึงจะมีประโยชน์

31/พ.ค./2566

                บนหน้าปัดรถมีไฟเตือนหลายอย่างต่างความหมายกันไป แต่รูปไฟเขียวส้มที่เราเห็นบ่อยนั้นมันคืออะไรใช้ตอนไหนบ้าง วันนี้ #ไมค์คาร์ แกลเลอรี่ จะพาเพื่อน ๆ มาหาคำตอบกัน

 


                เราอาจจะได้ยินกันบ่อยครั้งกับคำว่าไฟตัดหมอก บางคนติดตั้งเพิ่มหรือรถบางคันก็มีติดมาจากโรงงาน บางท่านเข้าใจว่าเป็นของแต่ง จริง ๆ จะนับเป็นของแต่งก็ได้แต่ก็ต้องใช้งานให้ถูกต้องด้วยเช่นกัน

 

ใช้ไฟตัดหมอกตอนไหน

บ้านเราโอกาศที่จะได้เห็นหมอกคงน้อยมากดังนั้น สิ่งที่เราจะได้ใช้ไฟตัดหมอกก็คงเหลือแค่

1. ฝนตกหนัก เป็นสิ่งที่ควรทำ จะทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเวลาฝนตกหนักจนไม่เห็นทางบางท่านยังเข้าใจว่า "เปิดไฟฉุกเฉิน" ซึ่งผิดมาก เพราะชื่อก็บอกแล้วว่าไฟฉุกเฉิน ไม่ใช้ไฟฝนตก

2. ขับผ่านกลุ่มควันหนา ซึ่งบ้านเราตามต่างจังหวัดจะพบเห็นได้เยอะซึ่งอันตรายมาก เราจะมองไม่เห็นรถคันหน้าด้วยกลุ่มควันไฟจากการเผาหญ้าที่หนาทึบ ดังนั้นเราควรจะขับไปอย่างช้า ๆ "ห้ามจอดเด็ดขาด"

3. หมอกหนา อันนี้คงไม่ต้องกล่าวอะไรกันมาก เพราะมัน เป็นชื่อที่ใช้เรียกกันอยู่แล้ว หมอกหนาพบได้ตามสถานที่ที่อากาศเย็นหนาว ตามภูเขาสูง ทัศนวิสัยที่เห็นได้ไม่ชัด

 

ไฟตัดหมอกหลัง

                ตามประมวลกฎหมายจราจรทางบก แก้ไขปี  พ.ศ.  2536  ไฟตัดหมอกที่ติดตั้งในรถยนต์นั้น สามารถใช้งานได้ก็ต่อเมื่อรถวิ่งอยู่ในสภาวะที่มีหมอก ควัน หรือฝุ่นละอองจนเป็นอุปสรรค อันอาจเกิดอันตรายในขณะขับรถและต้องไม่มีรถอยู่ด้านหน้า หรือสวนมาในระยะของแสงไฟ หรือในระยะ 150 เมตร โดยสามารถใช้หลอดไฟแสงขาวหรือแสงเหลือง ที่มีกำลังไฟไม่เกินดวงละ 55 วัตต์ เท่านั้น

 

                โดยบทของโทษจากการกระทำผิดในการใช้ไฟตัดหมอก หากตรวจพบ เจ้าหน้าที่จะดำเนินการจับปรับเป็นเงิน  500 บาท

 

บทความอื่นที่ใกล้เคียง

เพราะรอยยิ้มของคุณ คือความสุขของเรา

ลมยางรถยนต์ควรเติมเท่าไหร่จึงจะดีที่สุด

รถแต่ละประเภทหรือแต่ละรุ่นเติมแรงดันลมยางไม่เท่ากัน จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาดเลยนะคะ แรงดันลมยางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเติมลมยางรถเก๋งนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 30-32 PSI (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) สำหรับล้อหน้าและล้อหลัง แต่ถ้าหากต้องบรรทุกน้ำหนักมาก เช่น กรณีที่มีผู้โดยสารเต็มทั้ง 5 ที่นั่ง หรือบรรทุกของด้านหลังจนเต็ม อาจเพิ่มปริมาณการเติมได้ถึง 33-35 PSI เนื่องจากน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนแรงดันลมยางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับรถกระบะนั้นจะค่อนข้างใช้ลมยางที่มากกว่ารถเก๋งโดยสารตามปกติ โดยสำหรับล้อหน้าแรงดันยางจะอยู่ที่ประมาณ 36-38 PSI และล้อหลังที่ 40-42 PSI แต่ถ้าหากบรรทุกของเต็มท้ายรถ ก็สามารถเพิ่มปริมาณการเติมลมเพื่อรองรับน้ำหนักได้มากถึง 47-51 PSI เลยทีเดียวค่ะ

scroll up