บทความต้องรู้

เพราะรอยยิ้มของคุณ คือความสุขของเรา

4 ข้อดีของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า

09/มิ.ย./2566

                แนวโน้มการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า เริ่มมีมากขึ้นในประเทศไทย จึงทำให้หลาย ๆ ท่านเกิดข้อสงสัยว่า รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ดีกว่าเครื่องยนต์แบบสันดาปอย่างไร วันนี้ #ไมค์คาร์ แกลเลอรี่ จะพาเพื่อน ๆ มาทำความเข้าใจถึง 4 ข้อดีของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า

 

1. ค่าพลังงานถูก

                ค่าพลังงานถูก เป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ที่ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มหันมาสนใจรถยนต์ไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น โดยเมื่อเทียบค่าพลังงานเฉลี่ยของน้ำมันเบนซิน หรือดีเซล จะเฉลี่ยอยู่ราว ๆ ลิตรละ 30-40 บาท ซึ่งหากนำไปเติมรถยนต์น้ำมันประเภท SUV จะสามารถขับขี่ได้ระยะทางราว ๆ 10-17 กิโลเมตร/ลิตร เท่านั้น หรือถ้าเป็นรถยนต์ไฮบริดก็อาจจะได้ระยะทางเพิ่มขึ้นมาเป็น 15-24 กิโลเมตร/ลิตร

                ส่วนรถยนต์ไฟฟ้า มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่มีความแตกต่างกันตามประเภทของการเติมพลังงาน และแหล่งที่รับพลังงานมา โดยหากชาร์จไฟที่บ้านผ่านมิเตอร์แบบ TOU ค่าพลังงานไฟฟ้าจะอยู่ที่หน่วยละราว ๆ 2.6369 บาท/หน่วย ส่วนการชาร์จแบบ DC Fast charge ตามสถานีชาร์จสาธารณะ มักจะมีค่าบริการอยู่ราว ๆ 7.5 บาท/หน่วย ซึ่งไฟฟ้า 1 หน่วย จะสามารถขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้าได้ระยะทางราว 4-7 กิโลเมตร/หน่วย เลยทีเดียว และรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ก็หันมาพัฒนารถยนต์ที่ประหยัดพลังงานไฟฟ้ามากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

  • หากเปรียบเทียบค่าพลังงานต่อกิโลเมตรแล้ว พบว่า
  • รถยนต์ไฟฟ้า มีต้นทุนค่าพลังงานในการการเดินทางเริ่มต้นเพียง 0.37 บาท/ 1 กิโลเมตร
  • รถยนต์น้ำมัน มีต้นทุนค่าพลังงานในการการเดินทางเริ่มต้น 1.76 บาท/ 1 กิโลเมตร
  • ส่วนรถยนต์ไฮบริด มีต้นทุนค่าพลังงานในการการเดินทางเริ่มต้น 1.25 บาท/ 1 กิโลเมตร

 

2. รถยนต์ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพต่อราคาคุ้มค่ากว่ารถน้ำมัน

                รถยนต์ไฟฟ้า ณ ตอนนี้ ถือเป็นรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพต่อราคา "ถูกที่สุด" ในปัจจุบัน คำนวณง่าย ๆ จากโมเดลรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายในไทยอย่างเช่น BMW i4 M50 มอบพละกำลังสูงสุด 544 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 795 นิวตันเมตร ในราคาวางจำหน่ายที่ 4,999,000 บาท หรือคิดง่าย ๆ ตกแรงม้าละ 9,189 บาท

 

 

                ส่วนรถยนต์น้ำมันที่มีแรงม้าใกล้เคียงกัน คุณต้องขยับไปหา BMW M4 ที่มอบพละกำลังใกล้เคียงกันที่ 510 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตร ในราคาวางจำหน่ายที่ 7,999,000 บาท หรือคิดง่าย ๆ ตกแรงม้าละ 15,684 บาท เลยทีเดียว

 

3. เราสามารถผลิตไฟฟ้าเองได้ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

                ในการหาแหล่งพลังงานนั้น พลังงานไฟฟ้าถือว่าเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ค่อนข้างง่าย เพราะนับเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับการใช้ชีวิตไปแล้ว แม้ว่าในการเดินทางไกล รถยนต์ไฟฟ้ายังคงต้องการชาร์จพลังงานจากสถานีชาร์จฉุกเฉินมากกว่า แต่ในยามคับขันแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าก็สามารถชาร์จแบตเตอร์รี่จากปลั๊กไฟธรรมดาได้ด้วยเช่นกัน แต่จะใช้เวลาการชาร์จที่ยาวนานกว่านับสิบเท่า

                นอกจากนี้แล้ว พลังงานไฟฟ้ายังถือเป็นพลังงานที่ไม่มีการรวมศูนย์กลาง ไม่มีใครเป็นเจ้าของอย่างผูกขาด เพราะแสงอาทิตย์สามารถเปลี่ยนมาเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ด้วยเช่นกัน ด้วยการผลิตจากโซล่าเซลล์นั่นเอง

นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้าก็เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการที่มันไม่มีการคายไอเสียออกมานั่นเอง ทำให้มันสามารถใช้งานในสถานที่ปิดได้

 

4. ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ

                นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม และนโยบายลดโลกร้อน ถือเป็นวาระระดับโลก ที่รัฐบาลหลาย ๆ ประเทศต่างตื่นตัว และให้การสนับสนุนกิจกรรมที่ช่วยในการลดโลกร้อนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยลดอากาศเสียไม่ให้เข้ามาเพิ่มในชั้นบรรยากาศที่เราหายใจด้วย

                ด้วยเหตุผลนี้ ส่งผลให้รัฐบาลหลาย ๆ ประเทศ ที่มีความต้องการผลักดันยานยนต์ไฟฟ้าให้มีเพิ่มขึ้น หรือตั้งเป้าให้มาทดแทนรถยนต์สันดาปแบบเดิม จึงมีมาตรการสนับสนุนจากทางภาครัฐอยู่หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบส่วนลดการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า, สิทธิพิเศษทางภาษี หรือสิทธิพิเศษอื่น ๆ ที่ได้มาเฉพาะผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก

 

5. ความอเนกประสงค์

                รถยนต์ไฟฟ้า สามารถปรับเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้มากกว่ายานพาหนะ คุณอาจจะเปลี่ยนรถยนต์ไฟฟ้า เปิดระบบและเปิดแอร์เพื่อเปลี่ยนเป็นห้องนั่งเล่น หรือห้องทำงานที่อยู่หน้าบ้านของคุณ หรือนอกสถานที่ ก็สามารถทำได้ หรือจะเปลี่ยนมันเป็นที่นอนหลับพักผ่อนก็สามารถทำได้ เพราะมันไม่มีไอเสียที่จะไหลย้อนเข้ามาในห้องโดยสารเพื่อปลิดชีวิตคุณได้นั่นเอง

                รถยนต์ไฟฟ้ามีข้อดีคือ ประหยัดค่าใช้จ่าย ดูแลรักษาได้ง่าย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่วนข้อเสียก็คือใช้เวลาในการชาร์จนานสักหน่อย แต่ถ้าบริหารเวลาดี ๆ การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าก็แทบจะไม่ใช่ปัญหาในการใช้งานสักเท่าไหร่ครับ

บทความอื่นที่ใกล้เคียง

เพราะรอยยิ้มของคุณ คือความสุขของเรา

ลมยางรถยนต์ควรเติมเท่าไหร่จึงจะดีที่สุด

รถแต่ละประเภทหรือแต่ละรุ่นเติมแรงดันลมยางไม่เท่ากัน จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาดเลยนะคะ แรงดันลมยางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเติมลมยางรถเก๋งนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 30-32 PSI (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) สำหรับล้อหน้าและล้อหลัง แต่ถ้าหากต้องบรรทุกน้ำหนักมาก เช่น กรณีที่มีผู้โดยสารเต็มทั้ง 5 ที่นั่ง หรือบรรทุกของด้านหลังจนเต็ม อาจเพิ่มปริมาณการเติมได้ถึง 33-35 PSI เนื่องจากน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนแรงดันลมยางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับรถกระบะนั้นจะค่อนข้างใช้ลมยางที่มากกว่ารถเก๋งโดยสารตามปกติ โดยสำหรับล้อหน้าแรงดันยางจะอยู่ที่ประมาณ 36-38 PSI และล้อหลังที่ 40-42 PSI แต่ถ้าหากบรรทุกของเต็มท้ายรถ ก็สามารถเพิ่มปริมาณการเติมลมเพื่อรองรับน้ำหนักได้มากถึง 47-51 PSI เลยทีเดียวค่ะ

วิธีการเลือกรถยนต์มือสอง

ในยุคสมัยปัจจุบันนี้การจะออกรถยนต์ใหม่ป้ายแดงสักคัน อาจเป็นปัญหาใหญ่สำหรับใครหลายๆคนเนื่องจากเราทุกคนก็คงไม่ยากจะเพิ่มภาระให้ตัวเองในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ผู้คนส่วนใหญ่จึงหันมามองที่ตลาดรถยนต์มือสอง เพราะว่าในราคาที่เท่ากันเราสามารถที่จะซื้อรถยนต์มือสองยี่ห้อเดียวกันรุ่นที่เหนือกว่ารถยนต์ป้ายแดงยี่ห้อเดียวกัน หรือ สามารถที่จะซื้อรถยนต์รุ่นเดียวกันในราคาที่ต่ำกว่า แต่ก่อนที่เราจะตัดสินใจซื้อเราควรมาทราบถึงวิธีการเลือกรถยนต์มือสองที่จะทำให้เราได้รถยนต์มือสองที่สภาพดีและคุ้มค่ากับราคาและลดปัญหาที่จะพบเจอจากรถยนต์มือสองที่เราตัดสินใจซื้อ โดยขั้นตอนในการเลือกและตรวจสอบรถยนต์มือสองมีตามขั้นตอนดังนี้

scroll up